เศรษฐศาสตร์ :
กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ.
ความหมายและความสำคัญของกลไกราคา
1. กลไกราคา
หมายถึง
ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน
ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น
เมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น
กลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด
เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม
หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด
การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ
กำหนดไว้ 2 วิธี คือ
1. ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ
ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์แลอุปทาน
2. รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและบริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด
เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค , การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต ,
การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป
เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน
2. อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้
ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ
เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว
ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลังซื้อ
ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์
2.1 กฎของอุปสงค์ (Law of
Demand) หมายถึง
ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำ(ราคาถูก)
ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง)
2.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์
การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใดนั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการ(ตามกฎของอุปสงค์)
2. รายได้ของผู้บริโภค
3. รสนิยมของผู้บริโภค
4. สมัยนิยม
5. การโฆษณาและเทคนิคการตลาด
6. ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้
7. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
8. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
9. พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ฤดูกาล การศึกษา
10. ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ
3. อุปทาน (Supply) หมายถึง
ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ
ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ
เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น
แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
3.1 กฎของอุปทาน (Law of Supply)
หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง)
ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก)
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทาน
การที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ
(กฎของอุปทาน)
2. ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ)
3. เทคโนโลยีการผลิตที่นำมาใช้
4. ฤดูกาล
5. สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
6. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต
(การเกิดกำไร)
7. จำนวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง
(ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขันกัน)
4. ดุลยภาพ (Equilibrium)
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง
ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้
ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า
แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค
หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ
ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง
เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากัน ราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง
หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า
จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป
เขียนโดย Natthakan
Thiamta ที่ 08:38 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook
ระบบกลไกราคาข้าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น